โคดี้ โรดส์ : จากนักมวยปล้ำที่(เกือบ)ไปไม่รอดสู่พระเอกคนใหม่ของ WWE

04-08-2024
5นาทีที่อ่าน
SN Illustration

เมื่อพูดถึงนักมวยปล้ำชื่อดังที่ประสบความสำเร็จที่สุดในปัจจุบัน โคดี้ โรดส์ ถือเป็นหนึ่งในนั้น หลังตัวเขาเพิ่งก้าวไปชนะแมตช์ Royal Rumble สองปีซ้อน และล่าสุดคว้าแชมป์โลก WWE เป็นครั้งแรกในศึก Wrestlemania 40

แต่กว่าจะก้าวสู่จุดสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยถูกมองข้ามราวกับคนไร้ค่า จนต้องออกไปพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำทุกอย่าง แม้แต่การตั้งค่ายมวยปล้ำใหม่ เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนในวงการมวยปล้ำได้รู้ว่าเขาคือของดี และเป็นสมบัติล้ำค่าของโลกมวยปล้ำที่ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้

ช่วงเวลาอันล้มเหลวกับ WWE

แตกต่างจากนักมวยปล้ำในยุคปัจจุบันที่มักไต่เต้าขึ้นมาจากสมาคมอิสระ โคดี้ โรดส์ มีเส้นทางที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนจากนักมวยปล้ำเหล่านั้น เพราะเขาคือลูกชายของ "The American Dream" ดัสตี้ โรดส์ ตำนานนักมวยปล้ำชื่อดังจากยุค 80s ด้วยเหตุนี้ โคดี้ โรดส์ จึงเริ่มต้นอาชีพของตัวเองด้วยการเป็นเด็กฝึกของสมาคมมวยปล้ำหมายเลขหนึ่งของโลกอย่าง WWE

WWE

แต่ถึงจะมีต้นทุนมากกว่าคนอื่น โคดี้ โรดส์ ก็ไม่ยอมใครต่อใครมาดูถูกเขาด้วยคำว่าเด็กเส้น โดยตลอดระยะเวลาที่โคดี้ปล้ำให้กับสมาคมลูกของ WWE อย่าง Ohio Valley Wrestling (OVW) ในช่วงปี 2006-07 เขาได้รับคำชมอย่างมากจากเหล่านักวิจารณ์นักมวยปล้ำ และได้รับการโหวตให้เป็นรุกกี้อันดับหนึ่งของฝั่งสหรัฐอเมริกาจาก Wrestling Observer Newsletter ในปี 2006

เมื่อฉายแววตั้งแต่ยังเป็นนักมวยปล้ำในค่ายพัฒนาทักษะ WWE จึงไม่รอช้ารีบดันโคดี้ขึ้นสู่ค่ายหลักทันที โดยในช่วงแรกเขาได้รับบทบาทเป็นคู่แท็กทีมของนักมวยปล้ำรุ่นเก๋า ฮาร์ดคอร์ ฮอลลี่ ซึ่งทั้งคู่ประสบความสำเร็จร่วมกันในฐานะแชมป์โลกแท็กทีมหนึ่งสมัยเป็นระยะเวลานานถึง 202 วัน

การครองแชมป์โลกแท็กทีมยาวนานตั้งแต่เป็นดาวรุ่งของโคดี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การพัฒนาของเขาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงจุดหนึ่ง WWE จึงเริ่มมองเห็นว่าโคดี้ไม่ต้องการนักมวยปล้ำรุ่นเก๋าเขามาแบกเขาในฐานะคู่แท็กทีมอีกแล้ว นี่คือเวลาที่โคดี้ โรดส์ ควรเริ่มต้นเส้นทางของตัวเอง ในฐานะอนาคตของ WWE

โคดี้ โรดส์ จึงถูกเลือกเป็นหนึ่งในสามสมาชิกของกลุ่ม The Legacy กลุ่มนักมวยปล้ำฝ่ายอธรรมที่รวมลูกของนักมวยปล้ำชื่อดังในอดีต ได้แก่ แรนดี้ ออร์ตั้น, เท็ด ดิบิอาซี่ และโคดี้ โรดส์ ซึ่งการขยับบทบาทครั้งนี้ของโคดี้ ยิ่งทำให้ตัวเขาพัฒนาขึ้นไปกลายเป็นกลุ่มนักมวยปล้ำที่เชื่อว่าจะเป็นสามารถเป็นอนาคตของ WWE ร่วมกับ เดอะ มิซ, โคฟี่ คิงสตัน, แซ็ค ไรเดอร์ หรือดอล์ฟ ซิกเลอร์

ช่างน่าเสียดายที่เหล่าดาวรุ่งซึ่งถูกปั้นโดย WWE เหล่านี้ ไม่มีใครสามารถก้าวเป็นสตาร์ระดับสูงของสมาคมในอีกหลายปีข้างหน้า เพราะถ้าหากพวกเขาไม่ถูกผลักดันอย่างผิดที่ผิดทาง หรือตกไปอยู่ในเนื้อเรื่องที่ทำลายมากกว่าจะสร้างสรรค์อาชีพ บางคนก็อาจจถูกมองข้ามเพียงเพราะว่าเขาไม่ใช่ลูกรักของวินซ์ แม็คแมน ซึ่งโคดี้ โรดส์ อยู่ในกรณีหลังสุด

WWE

เมื่อออกจากกลุ่ม The Legacy ในปี 2010 โคดี้ซึ่งถูก WWE มองมาตลอดว่า “จืดเกินไป” จึงถูกเปลี่ยนกิมมิคเป็น "Dashing" โคดี้ โรดส์ หรือโคดี้ โรดส์ ในเวอร์ชั่นบ้าความหล่อของตัวเอง และต้องส่องกระจกอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่า หากคุณอ่านบทบาทนี้ของเขาจากคำอธิบายข้างต้นมันอาจดูตลก

แต่ความจริงแล้วโคดี้ทำได้ดีมากกับบทบาทใหม่ของตัวเอง โดยเขาถือเป็นนักมวยปล้ำอธรรมระดับกลางที่ทำผลงานได้อย่างน่าพอใจในทุกด้าน ทั้ง การปล้ำ และการพูด แต่เป็นโชคร้ายของโคดี้ที่ WWE ตีโจทย์ผิดเลือกมองว่าเขาจะเป็นนักมวยปล้ำที่ฉายแสงเมื่ออยู่ภายใต้กิมมิคจัดจ้านเท่านั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้กิมมิคของเขาเริ่มจะหลุดโลกเข้าไปทุกวัน เริ่มจากกิมมิค “Undashing” ที่เป็นคาแรกเตอร์ของโคดี้หลังเขาจมูกหัก และต้องใส่หน้ากากศัลยกรรมขึ้นปล้ำเพราะกลัวเสียโฉม ก่อนจะพัฒนาสู่กิมมิค Stardust หนึ่งในกิมมิคที่แย่ที่สุดที่โลกมวยปล้ำเคยมีมา

โดยก่อนโคดี้ โรดส์ จะต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น Stardust เขาถือเป็นนักมวยปล้ำที่พัฒนาการปล้ำของตัวเองให้ดีขึ้น และดีขึ้นในทุก ๆ ปี ความสามารถของเขาเริ่มเป็นที่พูดถึงในหมู่แฟนมวยปล้ำฮาร์ดคอร์ และถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เคยรับการผลักดันในระดับสูงเลยใน WWE โคดี้ก็ยังคงสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง จนกระแสเรียกร้องให้การผลักดันโคดี้เกิดขึ้นเสียที

โคดี้ โรดส์ จึงได้รับช่วงเวลาที่ดีที่สุดใน WWE ครั้งแรกเมื่อปี 2013 หลังเขาได้รับบทบาทให้ครองแชมป์แท็กทีมร่วมกับพี่ชายของตัวเองอย่าง Goldust หรือ ดัสติน โรดส์ แต่อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า WWE ตีโจทย์โคดี้ผิดมาตลอด นั่นจึงทำให้แทนที่สมาคมจะผลักดันเขาในฐานะแท็กทีมเป็นระยะยาว WWE กลับพลิกบทบาทของโคดี้ ด้วยการนำกิมมิค Goldust ของดัสติน โรดส์ มาใส่ในตัวโคดี้

Stardust จึงถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2014 โดยคำอธิบายกิมมิคนี้ก็ไม่มีอะไรมากกว่า “กิมมิคของดัสติน โรดส์ ที่โคดี้ไปขโมยมาอีกที” เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงตอบรับของกิมมิค Stardust มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง แถมคำชื่นชมที่เคยมีอย่างต่อเนื่องแก่โคดี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นคำด่าที่ถาโถมเข้ามาในคาแรกเตอร์นี้

ถึงจุดหนึ่ง โคดี้จึงเริ่มทนไม่ไหวกับบทบาทที่เขาได้รับใน WWE นั่นจึงนำมาสู่การขอยุติสัญญากับสมาคมในวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2016 ถือเป็นการยุติช่วงเวลาราว 10 ปีที่โคดี้เติบโตภายใต้สมาคมหมายเลขหนึ่งของโลก ก่อนเขาจะก้าวสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน นั่นคือ “โลกของมวยปล้ำอินดี้” พื้นที่ซึ่งไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าฝีมือการปล้ำ และการเอาชนะหัวใจของแฟนมวยปล้ำฮาร์ดคอร์ให้ได้

เริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเอง

หลังโบกมือลา WWE โคดี้ โรดส์ เริ่มต้นใหม่ในอาชีพนักมวยปล้ำของเขากับ Impact Wrestling ค่ายมวยปล้ำอันดับสองของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น แต่เนื่องจากสถานการณ์ของ Impact กำลังย่ำแย่เป็นอย่างมาก โคดี้จึงตัดสินใจย้ายไปปล้ำให้กับ Ring of Honor หรือ ROH แทน

การทำงานกับ ROH เปิดโอกาสให้โคดี้ โรดส์ ได้ก้าวขึ้นไปปล้ำกับสมาคมมวยปล้ำหมายเลขหนึ่งในแง่คุณภาพ นั่นคือ New Japan Pro-Wrestling หรือ NJPW โดยโคดี้ก้าวเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของ BULLET CLUB กลุ่มนักมวยปล้ำอธรรมต่างชาติของสมาคม ซึ่งเป็นกลุ่มนักมวยปล้ำที่ดังที่สุดในวงการอินดี้ขณะนั้น นอกจากนี้ โคดี้ยังเริ่มเรียกตัวเองว่า "The American Nightmare" ฉายาที่อ้างอิงจากฉายาของคุณพ่อผู้ล่วงลับ และยังคงเป็นกิมมิคของเขาจนถึงปัจจุบัน

AEW / All Elite Wrestling

แน่นอนว่า โคดี้ โรดส์ ได้รับความนิยมไม่น้อยจากกลุ่มคนดูมวยปล้ำอินดี้ เพราะเขาถือเป็นนักมวยปล้ำ WWE เพียงไม่กี่คนที่หันหลังให้กับสมาคมยักษ์ใหญ่อย่างเต็มใจ และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ในฐานะนักมวยปล้ำอินดี้ แต่ขณะเดียวกัน แฟนมวยปล้ำอินดี้จำนวนไม่น้อยกลับเกลียดชังโคดี้ โรดส์ เป็นอย่างมาก

เพราะเมื่อเขาก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงการอินดี้แล้ว ความยอดเยี่ยมบนเวทีของเขาใน WWE กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา โดยเขาถือเป็นนักมวยปล้ำชื่อดังเพียงไม่กี่คนในค่ายนอกกระแสที่ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน หลายคนจึงวิจารณ์โคดี้ว่าเขาดังได้เพราะเขาแค่ภาพลักษณ์ดี และฉลาดที่จะปรับตัวจนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม BULLET CLUB ได้อย่างลงตัว ทั้งที่เขาฝีมือไม่ได้ครึ่งสมาชิกชื่อดังคนอื่นใน BULLET CLUB เลย

แต่ไม่ว่าใครจะวิจารณ์โคดี้ โรดส์ อย่างไร ? เขายังประสบความสำเร็จมากในวงการมวยปล้ำอินดี้ ไล่ตั้งแต่ การคว้าแชมป์ยูเอส IWGP หนึ่งสมัย, แชมป์โลก ROH หนึ่งสมัย และสำคัญที่สุดคือ การเป็นหนึ่งในสามโปรโมเตอร์ร่วมกับ The Young Bucks สร้างศึก All In โชว์มวยปล้ำขนาดใหญ่ศึกแรกในรอบ 25 ปี ที่ไม่ได้จัดโดย WWE

Scroll to Continue with Content

ความสำเร็จของศึก All In กลายเป็นรากฐานสำคัญของสมาคม All Elite Wrestling ในเวลาต่อมา เพราะในช่วงปลายปี 2018 เหล่าสมาชิกกลุ่ม The Elite อันประกอบด้วย เคนนี่ โอเมก้า, แมตต์ และ นิค แจ็คสัน หรือ The Young Bucks, อดัม เพจ และโคดี้ โรดส์ ได้หมดสัญญากับ ROH และ NJPW พอดิบพอดี ซึ่งภายหลังนักมวยปล้ำเหล่านี้ตัดสินใจย้ายไปจับมือกับ โทนี่ ข่าน ทายาทนักธุรกิจกีฬาชื่อดัง เพื่อตั้งสมาคมมวยปล้ำแห่งใหม่ที่จะเป็นทางเลือกของคนดูมวยปล้ำกระแสหลัก

All Elite Wrestling หรือ AEW จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2019 โดย โคดี้ โรดส์ ถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารของสมาคม และยังรับบทบาทหน้าตาของสมาคม เนื่องจาก AEW ถือเป็นสมคมมวยปล้ำกระแสหลัก นักมวยปล้ำระดับแถวหน้าจึงสามารถนำภาพลักษณ์ และเนื้อเรื่อง มาเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันความนิยมแทนฝีมือได้

Getty Images

AEW จึงเป็นลีกที่โคดี้ถนัดไม่ต่างจากเมื่อเขากำลังปล้ำใน WWE แต่แทนที่จะถูกมองข้ามอย่างต่อเนื่องโดยวินซ์ แม็คแมน โคดี้ได้รับอิสระเต็มที่ในการสร้างสรรค์เนื้อเรื่องของตัวเองโดยโทนี่ ข่าน (เฉพาะในระยะแรก) นั่นจึงนำมาสู่การปะทะกันของสองพี่น้อง โคดี้ และ ดัสติน ในศึก Double or Nothing แมตช์ 5 ดาวที่ช่วยพา AEW ก้าวสู่สายตาแฟนมวยปล้ำทั่วโลก และผลักดันโคดี้ขึ้นเป็นสตาร์ระดับสูงของวงการมวยปล้ำในทันที

Undesirable to Undeniable

หลังประสบความสำเร็จในฐานะสตาร์ระดับแถวหน้าของ AEW โคดี้ตัดสินใจที่จะตอบโต้คำวิจารณ์ที่มีต่อตัวเขาด้วยการเลือกจะไม่ขอชิงแชมป์ AEW อีกต่อไป โดยเจ้าตัวได้มีเนื้อเรื่องสำคัญกับ คริส เจอริโก้ ที่ทำให้เขาเป็นนักมวยปล้ำฝ่ายธรรมะเบอร์หนึ่งของฝั่งอเมริกาอยู่นาน ซึ่งความจริงแล้ว หากไม่นับเจอริโก้ที่แบกแชมป์โลก AEW อยู่ตลอดปี 2019 โคดี้ก็ถือเป็นนักมวยปล้ำแห่งปีของฝั่งอเมริกาแล้ว

Getty Images

ระยะเวลาช่วง 6 เดือนแรกของโคดี้ใน AEW ถือเป็นจุดสำคัญในอาชีพที่ทำให้โคดี้ก้าวมาประสบความสำเร็จในปัจจุบัน เมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงทักษะการพูดแบบโอลด์สคูลที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน แถมยังกลายเป็นนักมวยปล้ำทรงเสน่ห์แบบธรรมะยุคโบราณอีกต่างหาก สรุปคือ โคดี้ โรดส์ กลายเป็นตัวอย่างของนักมวยปล้ำยุค 80s ที่ก้าวมาประสบความสำเร็จในปัจจุบัน

บทบาทนี้ของโคดี้ โรดส์ ได้เพิ่มรวชาติแก่รายการทีวีของ AEW เป็นอย่างมาก นั่นจึงทำให้เขาถูกรับเลือกเป็นแชมป์ TNT คนแรกของสมาคม ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่เขาถือครองเข็มขัดเส้นนี้ โคดี้ช่วยผลักดันนักมวยปล้ำมากมายให้มีที่ทางใน AEW ไม่ว่าจะเป็น เอ็ดดี้ คิงสตัน หรือ ริคกี้ สตาร์ค แต่เนื้อเรื่องสำคัญที่สุดคือ การปะทะกับ โบรดี้ ลี ผู้ล่วงลับ คู่ปรับสำคัญที่ยกระดับแชมป์ TNT และสมาคม AEW ไปอีกระดับ

โชคร้ายสำหรับโคดี้ที่แม้จะพิสูจน์ตัวเองขนาดนี้ เขายังถูกแฟนมวยปล้ำ AEW ส่วนหนึ่งโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การดูหมิ่นว่าเขาพยายามหาสปอตไลท์ให้ตัวเองตลอดเวลา หรือคำครหาว่าเขาผิดที่ผิดทาง และควรจะไปอยู่ WWE มากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความจริงแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพของโคดี้ ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังคงเป็นช่วงเวลาในปี 2019 ที่เขาปล้ำให้กับ AEW

เมื่อเวลาเดินทางเข้าถึงปี 2021 และสมาคม AEW เริ่มดึงนักมวยปล้ำเก่าของ WWE เข้ามาสู่สมาคมมากขึ้นเพื่อเจาะฐานแฟนกลุ่มใหม่ โคดี้จึงถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงนักมวยปล้ำมิดการ์ดระดับบนของ AEW และยิ่งเนื้อเรื่องของเขากับแอนโทนี่ โอโกโก้ พังไม่เป็นท่า นั่นก็ยิ่งทำให้บทบาทของโคดี้เริ่มจางลงไปอีก

ถึงตรงนี้ โคดี้ โรดส์ เริ่มรู้สึกแล้วว่าบทบาทของเขาแย่กว่าที่ควรจะเป็น และเนื่องจากสัญญาของเขาใกล้หมดลงในช่วงต้นปี 2022 มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเริ่มรับฟังข้อเสนอของ WWE แทนจะภักดีกับ AEW ค่ายเดียว ซึ่งโจทย์ของโคดี้นั้นง่ายดายมากคือ ค่ายไหนที่กล้าทุ่มเงินให้เขามากที่สุด ... ค่ายนั้นจะเป็นฝ่ายที่ได้ตัวเขาไปใช้งานในปี 2022

ท้ายที่สุด WWE คือค่ายมวยปล้ำนั้น และพวกเขาไม่พลาดโอกาสที่รอคอยมานานในการขยี้ AEW ด้วยการเปิดตัวโคดี้อย่างยิ่งใหญ่ในศึก WrestleMania 38 พร้อมกับวางตัวเขาให้เป็นนักมวยปล้ำฝ่ายธรรมะระดับสูงของสมาคมที่มีความพร้อมจะชิงแชมป์โลกในทันที

แม้โคดี้จะมีโอกาสโชว์ฝีมือใน WWE รอบสองอยู่ไม่นาน เพราะเขาดันได้รับอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหน้าอกฉีกขาด ก่อนการปล้ำในศึก Hell In a Cell 2022 แต่เนื่องจากสปิริตสูงส่งที่ขึ้นปล้ำทั้งที่ยังบาดเจ็บ นั่นจึงทำให้โคดี้ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากแฟนมวยปล้ำและนักวิจารณ์ แถมยังทำให้เขากลายเป็นนักมวยปล้ำเพียงคนเดียวที่สร้างแมตช์ 5 ดาวใน AEW และ WWE ได้พร้อมกันในปี 2022

ถึงตรงนี้ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า โคดี้ โรดส์ คือนักมวยปล้ำฝ่ายธรรมะหมายเลขหนึ่งของ WWE และเป็นรองเพียงโรมัน เรนจ์ เท่านั้น ในแง่ของบทบาท ยิ่งบวกกับผลงานการปล้ำที่เพิ่งสร้างแมตช์แห่งปีในสายตาผู้ชม WWE การคว้าตำแหน่งผู้ชนะ Royal Rumble 2023 ของโคดี้ โรดส์ จึงยิ่งกว่าสมเหตุสมผล

Getty Images

แม้ว่าใน Wrestlemania 39 โคดี้ โรดส์ จะไม่ได้คว้าแชมป์แบบที่แฟนมวยปล้ำอยากเห็น แต่เขาไม่เคยที่ยอมแพ้ กลับมีแต่ตั้งใจออกมาทำงานหนัก มอบความสุขให้กับแฟน ๆ ทุกสัปดาห์ ปล้ำเต็มที่ไม่เคยกั๊ก ไม่ว่าจะเป็นโชว์เล็กหรือโชว์ใหญ่แค่ไหนก็ตาม

ความทุ่มเทของโคดี้ไม่เสียเปล่า เขาชนะแมทช์ Royal Rumble อีกครั้งในปี 2024 กลายเป็นนักมวยปล้ำคนแรกในรอบ 26 ปี ที่ชนะแมทช์นี้ได้ 2 ปีติดต่อกัน 

โคดี้ โรดส์ เลือกชิงแชมป์โลกกับ โรมัน เรนจ์ ชายที่เขาแพ้ในแมทช์ชิงแชมป์เมื่อปีที่แล้ว แต่คราวนี้เขาไม่ทำพลาดสามารถคว้าแชมป์โลก WWE มาครอง "Finish The Story" ของตัวเองได้สำเร็จ

นี่คือเรื่องราวของนักมวยปล้ำผู้ไม่เคยเป็นที่ต้องการ สู่นักมวยปล้ำที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ จากวันที่ WWE ไม่เห็นค่าในตัวโคดี้ โรดส์ วันนี้เขากลับมาเป็นผู้นำยุคใหม่ของ WWE

โคดี้ โรดส์ แสดงให้เห็นว่านักมวยปล้ำทุกคนสามารถก้าวสู่จุดสูงสุดได้แม้ถูกมองข้าม แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องกล้าก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เหมือนอย่างที่โคดี้ตั้งหน้าพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพื่อไขว่ขว้าหาโอกาสที่ดีที่สุดในอาชีพของตัวเอง

ร่วมสนุกลุ้นรางวัลพร้อมโบนัสก้อนใหญ่

ลุ้นโชคที่นี่! ทายผลฟุตบอลประจำวันกับเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือที่สุด

ติดตามบทความและข่าวสารกีฬาอื่นๆของเรา

Facebook : https://www.facebook.com/TheSportingNewsTH
Instagram : https://www.instagram.com/thesportingnews_th
Tiktok : https://www.tiktok.com/@thesportingnewsthailand